high tech
เทคโนโลยีขั้นสูง
ความหมาย
เป็นคำที่แสดงถึงคุณภาพที่ใช้กันมากในปัจจุบัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งนั้น ๆ หรืองานนั้น ๆ ได้มีการค้นคว้าและพัฒนากันมามากมายแล้ว
HR ยุค Next Gen : Hi Tech & Human Touch
ทุกวันนี้เราคงหลีกหนีกระแสเทคโนโลยีไม่พ้น ไม่ว่าจะที่ไหน เรื่องใด งาน หรือชีวิตส่วนตัว ทุกอย่างล้วนมีเรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งด้วยเสมอ องค์กรหลายต่อหลายแห่ง นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ เพื่อช่วยเสริมการทำธุรกิจให้มีความแตกต่าง อาทิ นำระบบแบบไร้สาย (wireless) มาใช้ หรือบางองค์กรก็ก้าวเข้าสู่ยุคที่กระดาษไม่จำเป็นอีกต่อไป (paperless) ดังนั้น การติดต่อสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กร จึงทำได้ง่ายด้วยเครือข่ายระบบโทรคมนาคมอันทันสมัย ที่เชื่อมโยงทุกความต้องการของการติดต่อ เข้าด้วยกันได้ ทุกที่ทุกเวลา ระบบการส่งข้อมูลแบบไร้สาย หรือแบบมีสายผ่านเส้นใยแก้วนำแสง (fiber optic) ทำให้การส่งข้อมูลขนาดใหญ่ จำนวนมาก ทำได้ง่ายและรวดเร็ว เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส การพัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆ ซึ่งมีรูปแบบของ open platform มากขึ้นและราคาที่ถูกลง ทำให้การเป็นเจ้าของเพื่อใช้งาน ไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อมดังเช่นในอดีต
ผลดีของการนำเทคโนโลยีมาใช้ที่เห็นได้ชัด คือ ช่วยสร้างให้องค์กรก้าวกระโดดไปข้างหน้า ในด้านศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจ และการให้บริการ เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในองค์กรมากขึ้น
สิ่งที่ตามมาคือ การต้องพัฒนาศักยภาพของผู้ปฏิบัติงานให้สูงขึ้นตามไปโดยลำดับ เพื่อตอบรับกับสิ่งที่เปลี่ยนไป วันนี้ HR เข้าใจเทคโนโลยี และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเพียงใด เมื่อองค์กรตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลง และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ แน่นอนว่า HR ต้องอยู่ในวงจรของการก่อให้เกิดการปฏิบัติ (implementation) ต้องทำความเข้าใจในบริบทและสาระของเทคโนโลยีที่องค์กรนำเข้ามา เพื่อที่จะส่งต่อความรู้ความเข้าใจไปยังบุคลากร อันจะนำไปสู่การยอมรับ ปรับเปลี่ยน และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง คุ้มค่าต่อการลงทุนที่เสียไปขององค์กร
การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับงาน HR ในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ในต่างประเทศมีการใช้กันอย่างจริงจัง และกว้างขวาง และวันนี้ก็เริ่มแพร่ขยายเข้ามายังองค์กรในประเทศไทยหลายแห่ง ทั้งภาครัฐและเอกชน การนำเทคโนโลยีมาใช้ เริ่มตั้งแต่ การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารขององค์กร การรับสมัครงานและการคัดเลือกพนักงาน (recruitment and selection) การจัดการข้อมูลส่วนตัวของพนักงาน ในลักษณะ employee self-services เช่น การลงเวลาทำงาน การขอลางาน หยุดงาน การขอหนังสือรับรองการทำงาน การเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เป็นต้น หรือในการพัฒนาพนักงานผ่านระบบการเรียนรู้ การศึกษาทางไกล (online learning) ไปจนถึงการลาออก ล้วนแล้วแต่สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยได้ทั้งสิ้น
ส่วนใหญ่เมื่อ HR นำเทคโนโลยีมาใช้ จะเป็นการใช้เพื่อเอื้อกับงานของตนเองเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น ระบบบันทึกการลางานหยุดงานของพนักงาน หรือระบบที่ใช้ในการลงเวลาทำงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ความสำเร็จของการนำเทคโนโลยีมาใช้ จะขึ้นกับการประสานประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย อันได้แก่ องค์กรซึ่งเป็นผู้ลงทุน ได้ประโยชน์จากประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานที่เพิ่มขึ้น ตัวพนักงานเองได้รับความสะดวกสบาย ใช้เวลาในการทำงานได้อย่างเต็มที่ และ HR ซึ่งทำงานง่ายและสบายขึ้น งานมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
การเลือกเทคโนโลยีมาใช้ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบ สิ่งที่ใช้ได้ดีในองค์กรต่างประเทศ ไม่จำเป็นว่าจะดีและสมบูรณ์แบบเสมอไป สำหรับบ้านเรา feature ที่มากมายหลากหลายของ application ที่ฝรั่งออกแบบมาเป็นมาตรฐาน ส่วนมากใช้กันไม่ครบ พูดได้ว่าจ่ายไปร้อย ใช้ไม่ถึงห้าสิบ
บางอันไม่ตรงกับความต้องการ ไปดัดแปลงของเขา ต่อเติมเองก็มี จนบางครั้งหาที่มาที่ไปไม่เจอ ต้องทิ้ง และซื้อของใหม่มาใช้เลยก็มาก ทำในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่าไหม หากเทคโนโลยีใดเช่าได้ ลองดูก่อน น่าจะดีกว่าทุ่มทุนซื้อมาใช้ในองค์กรทันทีทันควัน
ข้อสำคัญการจะนำเทคโนโลยีใดๆ มาใช้ ต้องมองให้ครบวงจรว่าเกิดและเติบโตได้ หลายๆ บริษัทจึงลงทุนด้านเทคโนโลยีในงาน HR เป็นเงินที่สูงมาก เอาเข้าจริงปรากฏว่าไม่ได้ทำงานเต็มประสิทธิภาพ เพราะคนที่นำมาใช้วางหลักไม่ถูกต้อง คือมองว่า เมื่อนำมาใช้แล้วทุกอย่างจบในตัว ไม่ต้องทำอะไรต่อ
แต่จริงๆ มันไม่ใช่ ระบบไม่สามารถแทนที่การทำงานของคนได้ เราต้องมองว่าเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเสริมไม่ใช่เครื่องมือหลัก เมื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ HR ต้องมีกลยุทธ์ วิธีการ และแผนงานที่จะช่วยปรับแต่งพฤติกรรมของคนให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีด้วย
การใช้เทคโนโลยีบังคับให้คนเปลี่ยนพฤติกรรม ความจริงก็ทำได้ แต่จะดีกว่าไหมหากเป็นการสื่อสารตรงจาก HR ไปยังพนักงาน เพราะน่าจะได้ความเข้าอกเข้าใจกันที่ดีกว่า และมี human touch พนักงานรู้ถึงประโยชน์ที่เขาและองค์กรจะได้รับ เกิดความเข้าใจและพร้อมเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่นั้น
ไม่มองแต่เพียงว่า เอาเทคโนโลยีมาใช้แล้วบางคนสบายขึ้น แต่ตัวเขาไม่สะดวกสบาย หรือร้ายไปกว่านั้นมองว่า เป็นการผลักภาระไปที่ผู้ใช้งาน ดังนั้นการสื่อสารจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากไม่สื่อสารหรือสื่อสารแล้วไม่เข้าใจ ก็จะได้เพียงแค่ "hi-tech" ไม่ได้ "human touch"
บริษัทที่ประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีมาใช้ มักจะเปิดโอกาสให้มีตัวแทนพนักงานและผู้บริหารมาเข้าร่วมในกระบวนการทำงาน เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกเทคโนโลยีมาใช้ การสร้างโปรแกรม (application) ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งาน ไปจนกระทั่งถึงการกำหนดแผนการนำไปใช้งานจริง (implementation Plan)
การกำหนดบทบาทและหน้าที่ ที่เหมาะสม จึงมีความสำคัญ แต่ ปัญหาหลักที่พบ คือ HR ไม่ชำนาญเรื่องเทคโนโลยี และผู้ที่ชำนาญเรื่องเทคโนโลยีก็ไม่เข้าใจลึกซึ้งในงาน HR อย่างไรก็ตาม HR ควรต้องเป็นผู้รับบทบาทหลักไม่ใช่ผู้ที่ทำงานด้าน IT ขณะเดียวกัน ควรฟังเสียงของผู้ใช้งานด้วย และมีการสื่อสารกับทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ
เพราะฉะนั้น ในวันนี้ HR จึงต้องศึกษาเรื่อง Change Management ช่วยวางกลยุทธ์ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ ไม่ควรมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัวเรา เพราะเมื่อนำระบบใหม่หรือเทคโนโลยีใหม่มาใช้ พนักงานในองค์กรต้องเรียนรู้ และเมื่อต้องเรียนรู้ก็เป็นหน้าที่ของ HR ที่จะจัดเตรียมการอบรมพัฒนา ปรับเปลี่ยนขอบเขตหน้าที่งาน (job description) ใหม่ให้เหมาะสม กำหนดคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงาน (job specification) ให้สอดคล้อง
รวมทั้งปรับระบบประเมินผลการปฏิบัติงาน (performance management system) เพราะทุกเรื่องที่พูดมา ขอให้มองในลักษณะเป็น integrated program อย่าคิดแยกระบบ เพราะถ้าเราจะก้าวไปสู่การทำงาน ในลักษณะที่เป็น technology-based แต่คนยังไม่ได้ปรับความเข้าใจและทัศนคติ มันก็จะไม่มีวันสมบูรณ์
ย้อนอดีตแนวคิดโฆษณาญี่ปุ่น แบบ HI TOUCH (ปัจจุบันยังใช้ได้อยู่)
ญี่ปุ่น แม้ได้รับแนวคิดวัฒนธรรมตะวันตกมาหลายเรื่อง แต่ความที่ “เฟื่องในชาตินิยม” จึงพยายามปรับให้เข้ากับพฤติกรรมและวัฒนธรรมของตัวเองมากขึ้น ดังเช่นที่จะ กล่าวถึงเรื่องหนึ่ง คือ “การโฆษณา” แนวโฆษณาที่ญี่ปุ่นได้ปรับแต่งจนเป็นแนวคิดที่อยากจะเรียกว่า “HI TOUCH” คือสัมผัสทางจิตที่มีพลัง ถึงแม้แนวคิดนี้ออกจะย้อนอดีตไปสักนิด แต่ถึงอย่างไร ปัจจุบันแนวคิดดังกล่าวก็ยังมีปรากฏและประสบผลสำเร็จอยู่ในปัจจุบันเรื่อยมา เพียงแต่ไม่ค่อยมีผู้ใดกล่าวถึงกัน จึงขอ “รื้อฟื้นความคิด...นำอดีตมาเป็นแนวคิดให้ปัจจุบันกันสักหน่อย” อย่ามัวหลงใหลได้ปลื้มกับ HI TECH กันมากนักเลย ที่ใกล้ๆ ตัวน่ะไม่ควรมองข้าม
แนวโฆษณาแรกที่จะกล่าวถึง คือ แนวโฆษณาที่เรียกว่า อะรุมัง หรือ ไปป์อดบุหรี่ ที่ใช้สัญลักษณ์ของนิ้วก้อยชูขึ้น ซึ่งมีความหมายถึงไปป์ เปรียบเทียบกับกับการอดบุหรี่ที่ได้ผลไปทั้งเมือง จนคนจำโฆษณาได้ว่าเห็นคนโฆษณาคนชูนิ้วก้อยซึ่งมีลักษณะคล้ายไปป์พร้อมข้อความว่า “เพราะสิ่งนี้แหละ ผมเคยลาอกจากบริษัท” หรือแม้แต่การส่งเสริมเรื่องจุดขายบริการตามสถานีรถไฟ ที่ใช้เพลงที่มีเนื้อหาว่า “รถไฟสีเขียวสายยานาโมเตะวิ่งเป็นวงกลมไปรอบๆ ส่วนรถไฟสายจูโอวิ่งผ่าตรงกลาง” ฟังดูก็ให้อารมณ์อย่างดีกับโฆษณามาก การรถไฟแห่งประเทศไทยของเราน่าให้ความสนใจ เพราะเขาขายเรื่องบริการมากกว่าใช้การลดราคาที่ยิ่งพาให้ขาดทุนลงไปอีกมาก เป็นการแก้ปัญหา
อีกแนวคิดหนึ่งที่เรียกว่า คิซากุระ พยายามมุ่งสร้างตรายี่ห้อให้ติดในใจกลุ่มเป้าหมายวัยกลางคน ปกติกลุ่มเป้าหมายนี้ในญี่ปุ่นมักนิยมเรียกว่า “ตลาดขบถ” เพราะไม่ยอมคล้อยตามความคิดยุคใหม่ง่ายๆ และเชื่อมั่นยึดมั่นในธรรมเนียมนิยมเพื่อรักษาสภาพเดิม (Status Quo) ตัวอย่างเห็นได้ชัด...คนในกลุ่มเป้าหมายนี้จะไม่ชอบให้ใส่หัวน้ำหอมในสินค้าบางอย่าง เช่น แชมพู สบู่ ผงซักฟอก แป้ง ฯลฯ
แนวคิด “คิซากุระ” ได้พยายามทำให้กลุ่มเป้าหมายนี้เกิดการยอมรับ ด้วยการนำ “จิตวิทยา” มาใช้ เช่น ให้เริ่มคิดถึงความลำบากในชีวิต ปลีกตัวออกจากงาน ให้สนใจเหล้าคือเพื่อน หรือสนุกเพลิดเพลินอย่างไม่ต้องหาสาเหตุแบบโฆษณาเบียร์สิงห์ใหม่ของเรา แม้แต่หายใจพร้อมกันก็ยังเฮฮาสนุกสนาน หรือฝนตกก็ยังทานต่อไม่สนฟ้าดิน...ทำนองนั้นสำหรับแนวคิดคิซากุระนี้ หากพิจารณาเปรียบเทียบกับแนวโฆษณาทางตะวันตกแล้วน่าจะใกล้เคียงกับ “Exaggerate Advertising” หมายถึงโฆษณาเกินจริง อย่างจะขายโทรทัศน์สีที่มีสีคงที่ให้ผู้จะซื้อไปใช้ได้เข้าใจ ก็จะเอาโทรทัศน์ไปซักตากแห้งแล้วบอกว่าสีไม่ตก เป็นต้น
นอกจากแนวคิด “คิซากุระ” แล้ว กลยุทธ์ที่เรียกว่า “โอเซกิ” ที่มุ่งตลาดวัยรุ่นก็ประสบความสำเร็จในการจูงใจให้ดื่มสุราเพื่อเลี้ยงฉลองขณะนั่งรถไฟท่องเที่ยว หรือพิชิตยอดเขาเพื่อพิสูจน์ศักดิ์ศรีความเป็น “คนญี่ปุ่น” ทั้งหญิงและชาย ซึ่งในบ้านเราการโฆษณาในวัยรุ่นสนใจเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ยี่ห้อ เอ็ม... ก็น่าจะเป็นแนวนี้ได้เช่นกันก็ขอยกตัวอย่างกันให้เห็นพอได้แนวคิดกัน เพื่อผู้เขียนต้องการจะส่งสารในความคิดของผู้เขียนมายังผู้อ่านว่า “HI TOUCH” นั้นมีความสำคัญขนาดไหนอย่าได้ละเลยกัน โดยเฉพาะคนวัยที่ปัจจุบันมักมองข้ามคือ วัยกลางคน ซึ่งอาจคิดว่าไม่นิยมการบริโภคมากเท่าวัยรุ่น แต่ปัจจุบันนั้นจากการเข้ามามีส่วนร่วมในการเจริญเติบโตที่เห็นชัดคือ วงการบันเทิงต่างๆ คนวัย GENERATION X ยุคปลาย หรือจะเข้าสู่วัยกลางคน เป็น “แนวร่วมการบริโภค” กับคนวัยรุ่นปัจจุบันได้อย่างดีแท้แล้ว...ความขยายในเรื่องนี้คงมีในโอกาสต่อไป
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
จริยธรรมกับพยาบาล
จริยธรรมแห่งวิชาชีพและจริยศาสตร์
คำว่า จริยธรรมแห่งวิชาชีพ มรรยาทวิชาชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพ คุณธรรมจริยศาสตร์ จริยศึกษา มีผู้กล่าวกันมากแต่จะหาคำตอบอธิบายที่ชัดเจนถึงความหมายที่แท้จริงนั้นยาก เพราะหลายท่านกล่าวไม่เหมือนกันทำให้สับสน ในที่นี้พยายามแยกคำอธิบายให้ชัดเจนโดยยึดถือพจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2525 เป็นหลัก
คำว่า “คุณธรรม” เป็นนาม หมายถึง สภาพคุณงามความดี ขอขยายความว่า “คุณธรรม” เป็นคุณงามความดีที่ทุกคนยอมรับ ที่วิญญูชนพึงสำนึกในจิตใจของตน ในด้านความจริง ความดีและความงาม และใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความกตัญญูกตเวที ความเสียสละส่วนตนเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป....เป็นต้น
คำว่า “จริยธรรม” คำนี้เป็นนาม หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม ขยายความว่าเป็นกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ที่คนในสังคมยอมรับและปฏิบัติตาม หากไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติผิดไปจากกฎ ระเบียบ อาจจะมีบทลงโทษ เช่น แพทยสภา ออกข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 มีอยู่ 6 หมวด สมาชิกแพทยสภาทุกคนหากฝ่าฝืนกฎก็อาจถูกลงโทษหนักเบาได้สุดแล้วแต่กรณี
จริยธรรมบางทีก็กำหนดโดยไม่มีบทลงโทษแต่ให้ผู้ที่อยู่ในวิชาชีพหรือผู้เข้ามาในวงการวิชาชีพใหม่สามารถติดตามหัวข้อจริยธรรมนั้นๆ เช่น คำสาบานของฮิปโปเตรตีส (Hippocratic cath) แพทยทุกคนทางซีกโลกตะวันตกเมื่อจะออกไปปฏิบัติหน้าที่แพทย์จะต้องสาบานตนตามหัวข้อจริยธรรมที่กำหนดโดย ฮิปโปรเตรตีส ปรมาจารย์ทางการแพทย์ในสมัยก่อนคริสตกาลหรือในปัจจุบันสมาคมแพทย์โลก (World Medical Association) ได้ประกาศ “International Code of Medical Ethics” เมื่อปี พ.ศ. 2492 เป็นจริยธรรมที่ให้แพทย์สำเร็จใหม่ทุกคนสาบานตนก่อนปฏิบัติหน้าที่แพทย์ บางทีเราเรียกคำสาบานนี้ว่า “Declaration of Geneva”
ฝ่ายพยาบาลก็มี “The Code for Nurses” (จริยธรรมแห่งวิชาชีพพยาบาล) ซึ่งเป็นสากลใช้กันทั่วโลกเหมือนกัน ทั้งนี้เป็นจริยธรรมที่ประกาศโดย สภาพยาบาลสากล (International Council of Nurses, ICN) เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2516 ที่เมืองเม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโก สำหรับประเทศไทยนั้นสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ประกาศใช้ “จริยาบรรณ วิชาชีพพยาบาล” ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2528 ซึ่งได้ใช้กันในหมู่วิชาชีพพยาบาลจนถึงทุกวันนี้ ขณะนี้ได้มีสภาการพยาบาลขึ้นแล้ว จึงได้มีการกำหนดบทลงโทษผู้ประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพอีกโสดหนึ่งด้วย
คำว่า “จริยธรรมแห่งวิชาชีพ” หรือ “จรรยาบรรณวิชาชีพ” จะเห็นว่าเป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน คือ เป็นระเบียบข้อบังคับที่สมาชิกทุกคนในวิชาชีพต้องนำไปปฏิบัติ บางทีเรียกว่า “มรรยาทวิชาชีพ” ก่อนนี้แพทยสภาเคยใช้คำ “มรรยาทวิชาชีพ” ในความหมายเดียวกับ “จริยธรรมแห่งวิชาชีพ”
คำว่า “มรรยาทแห่งวิชาชีพ” นี้ในความเห็นของผู้เขียนน่าจะเก็บไว้ใช้ให้ตรงกับความหมายคำ คือคำว่ามรรยาทมากกว่า ซึ่งควรหมายความอย่างเดียวกับคำว่า “etiquette” ของภาษาอังกฤษ ที่แปลว่าความประพฤติที่งดงาม มีศักดิ์ศรีมีเกียรติสมควรแก่ความยกย่อง วิชาชีพของพยาบาลและแพทย์จำเป็นที่จะต้องมีมรรยาท สำหรับประพฤติปฏิบัติแก่คนทั่วไป และแก่เพื่อนร่วมวิชาชีพ เช่น การพูดจาสุภาพ อ่อนน้อม ไม่แสดงอาการโกรธต่อผู้ป่วย.....เป็นต้น
คำว่า “จริยศาสตร์” เป็นนาม ได้แก่ปรัชญาสาขาหนึ่งว่าด้วยความประพฤติ และการครองชีวิตว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูกอะไรผิด หรืออะไรควรไม่ควร ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “ethics” จริยศาสตร์เป็นเนื้อหาความรู้ทางปรัชญาที่เป็นพื้นฐานหรือแนวความคิดเบื้องต้นที่นำไปสู่การกำหนดหัวข้อจริยธรรมเพื่อการปฏิบัติ ยกตัวอย่างเช่นในข้อจริยธรรม (หรือจรรยาบรรณ) ของวิชาชีพแพทย์และพยาบาลจะกำหนดไว้ว่าแพทย์และพยาบาลต้องเก็บรักษาเรื่องส่วนตัวของผู้ป่วยไว้เป็นความลับ เปิดเผยให้ผู้อื่นทราบไม่ได้ นอกจากผู้ป่วยยินยอมหรือเมื่อต้องปฏิบัติตามกฎหมาย คำถามที่นำไปสู่ “จริยศาสตร์” คือ ทำไมแพทย์หรือพยาบาลต้องทำเช่นนั้น คำตอบคือ เพราะเรื่องส่วนตัวของผู้ป่วยเป็นสิทธิของบุคคล หรือพยาบาลต้องทำเช่นนั้น คำตอบคือ เพราะเรื่องส่วนตัวของผู้ป่วยเป็นสิทธิของบุคคลที่เขาจะบอกหรือไม่บอกให้ใครรู้ก็ได้ แต่ที่เขาจำเป็นต้องบอกกับแพทย์หรือพยาบาลก็เพื่อวัตถุประสงค์ให้แพทย์และพยาบาลรักษาเขาให้หายจากความเจ็บป่วย และเขาเชื่อว่าแพทย์หรือพยาบาลผู้นั้นจะรักษาความลับเขาไว้ คำตอบเหล่านี้คือการใช้หลักการของจริยศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่อง “การเคารพในสิทธิส่วนตัว” (Respect for Autonomy)
ในเรื่องการรักษาความลับของเรื่องส่วนตัวผู้ป่วยนี้มีเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาซึ่งน่าจะเล่าเรื่องนี้ให้ทราบไว้เป็นตัวอย่างถึงความลำบากใจของแพทย์หรือผู้มีหน้าที่ตัดสินใจว่าจะปฏิบัติอย่างไร
ในคดีฆาตกรรมรายหนึ่ง นายโปรเซนจิต ทำร้ายนางสาวทาเซียนา ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2512 ผู้ปกครองของนางสาวทาเซียน่าฟ้องนายแพทย์ลอเรนซ์มัวร์ ต่อศาล กล่าวหาว่า น.พ. มัวร์ จิตแพทย์ที่รักษาโรคจิตของนายโปรเซนจิตซึ่งรับทราบจากคำสารภาพของนายโปรเซนจิตว่าตัวเองอยากฆ่านางสาวทาเซียน่า แต่ น.พ.มัวร์ มิได้แจ้งเรื่องให้พ่อแม่นางสาวทาเซียน่าทราบ น.พ.มัวร์แจ้งตำรวจให้ควบคุมตัวนายโปรเซนจิตไว้ แต่แล้วก็ถูกปล่อยตัวออกมาในเมื่อเห็นว่าไม่มีอาการอะไรน่ากลัว ในสุดท้ายเมื่อนางสาวทาเซียน่ากลับมาจากประเทศบราซิล นายโปรเซนจิตก็เข้าไปในห้องของนางสาวทาเซียน่าแล้วเธอฆ่าเธอ ผู้ปกครองน.ส.ทาเซียน่าฟ้องศาลว่า น.พ.มัวร์ทราบเรื่องนี้ว่านายโปรเซนจิตจะพยายามฆ่าน.ส.ทาเซียน่า แต่กลับไม่ยอมบอกพ่อแม่ของนาวสาวทาเซียน่าก่อน ซึ่งจะได้หาทางป้องกันตัวนางสาวทาเซียน่าได้ น.พ.มัวร์ จึงมีความผิดฐานไม่บอกเรื่องร้ายแรงให้ผู้ปกครองผู้ตายทราบ น.พ.มัวร์ แก้ข้อกล่าวหาว่าเขาเป็นผู้รักษานายโปรเซนจิตที่เป็นโรคจิต เขาจะเป็นต้องรักษาความลับของผู้ป่วยไม่อาจบอกให้ใครทราบได้ อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้แจ้งให้ตำรวจทราบและนำตัวไปกักกันไว้แล้วถึง 3 วัน จึงปล่อยตัวมา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วมีความเห็นเป็นสองฝ่าย ส่วนใหญ่ของศาลเห็นว่า น.พ.มัวร์มีความผิดฐานละเลยไม่แจ้งหรือเตือนผู้ปกครองนางสาวทาเซียน่าถึงอันตรายที่จะเกิดผู้ป่วยของตน ผู้รักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกจากดูแลของตนแล้วยังต้องนึกถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับคนอื่นด้วย โดยเฉพาะจริยธรรมของแพทย์ของสมาคมแพทย์อเมริกัน ได้กล่าวว่า แพทย์ต้องไม่เปิดเผยความลับที่เป็นเรื่องส่วนตัวที่ผู้ป่วยนำมาเล่าให้ฟังในขณะที่รักษากันอยู่ นอกจากจะต้องทำตามกฎหมายหรือต้องทำเพื่อปกป้องสวัสดิภาพของบุคคลอื่นหรือของสังคม แต่ศาลฎีกาส่วนน้อยกลับให้ความเห็นว่า น.พ. มัวร์ ไม่ผิด เนื่องจากแพทย์ส่วนใหญ่และนักกฎหมายหลายคนให้ความเห็นว่าการไม่ยอมเปิดเผยความลับของผู้ป่วยโรคจิตมีความสำคัญมากในการรักษาผู้ป่วยประเภทนี้ ถ้าแพทย์เปิดเผยความลับออกไปจะทำให้การรักษาไม่ได้ผล เพราะครั้งต่อไปผู้ป่วยจะไม่กล้าไว้วางใจแพทย์ และจะไม่กลับมาหาแพทย์ให้รักษาต่อไป ซึ่งจะยิ่งเป็นอันตรายต่อบุคคลอื่นและสังคมมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นผู้ป่วยโรคจิตคนอื่นหากทราบว่าแพทย์มักจะเล่าความจริงส่วนตัวที่ผู้ป่วยไว้วางใจเล่าให้แก่ผู้อื่นฟังแล้ว ในที่สุดความเชื่อถือไว้วางใจแพทย์จะลดน้อยลงจนกระทั่งไม่ไว้ใจแพทย์เลย แล้วใครจะเป็นคนรักษาผู้ป่วยโรคจิต สุดท้ายสังคมนั่นแหละจะเดือดร้อนมากที่สุด
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงความลำบากในการตัดสินใจกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ลองนึกภาพสมมุติว่าตัวเราเองเป็นผู้พิพากษาจะตัดสินใจว่าอย่างไร หรือนึกภาพว่าถ้าเราเป็นน.พ. มัวร์เราจะตัดสินใจอย่างไร จะบอกพ่อแม่ของนางสาวทาเซียน่าดี หรือไม่บอกดี ถ้าบอกก็หมายความว่าเรากำลังทำผิดจริยธรรมของแพทย์และอาจไม่เป็นผลดีต่อการรักษาผู้ป่วย ถ้าไม่บอกก็อาจเกิดอันตรายต่อผู้อื่นได้ สภาพการณ์เช่นนี้เป็นสภาพการณ์ที่แพทย์หรือพยาบาลพบบ่อยและตัดสินใจกระทำการไปอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ จะเห็นว่าทางเลือกทั้งสองทางนี้ถูกต้องทั้งสิ้น แต่จะเลือกทางหนึ่งนั้น ก็ต้องทิ้งอีกทางหนึ่ง ไม่สามารถเลือกทำทั้งสองทางได้ สภาพการณ์เช่นนี้เป็นสภาพที่เรียกว่า “moral dilemma” คือภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในการตัดสินใจทางศีลธรรมหรือทางจริยธรรม การตัดสินใจในกรณีเช่นนี้ต้องอาศัยการให้เหตุผลทางจริยธรรม (moral reasoning) ซึ่งต้องอาศัยความรู้ทางหลักการ และทฤษฏีทางจริยศาสตร์มาประกอบการให้เหตุผล รวมทั้งความเชื่อ ค่านิยมของแพทย์หรือพยาบาลผู้นั้นประกอบกับปทัสสถาน (norm) ของสังคมคือความเชื่อของสังคมส่วนใหญ่ที่แวดล้อมแพทย์หรือพยาบาลผู้นั้นในขณะนั้น
ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้อีกสักหนึ่งตัวอย่างซึ่งกรณีคล้ายคลึงกันนี้อาจเคยประสบกับเรามาบ้างแล้วก็ได้
ณ โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง ค่ำวันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ มีคนได้รับบาดเจ็บ 5 คนถูกนำส่งเข้าโรงพยาบาล ทั้ง 5 คนนี้เป็นครอบครัวเดียวกัน มีแม่และลูกอีก 4 คน พยาบาลเวรรู้จักกับครอบครัวนี้ดีเป็นผู้รับผู้ป่วยทั้งหมดไว้ ลูกสาวคนโตบาดเจ็บสมองมากที่สุด และถึงแก่กรรมหลังจากรับไว้เพียง 30 นาที ส่วนลูกอีก 3 คนปลอดภัย แม่เองบาดเจ็บเล็กน้อย มีรอยถลอกและช้ำเขียวเป็นบางแห่ง แม่ไม่ทราบว่าลูกสาวคนโตตายเป็นห่วงกังวลมาก เฝ้าแต่ถามพยาบาลเวรที่เป็นเพื่อนกันตลอดเวลาถึงอาการของลูกสาวคนโต พยาบาลเวรถามแพทย์ที่กำลังยุ่งทำผ่าตัดผู้ป่วยรายอื่นอยู่ว่าควรจะบอกแม่อย่างไร แพทย์บอกว่าอย่าเพิ่งบอกว่าลูกสาวตาย มิฉะนั้นแม่จะเสียใจอาจล้มป่วยช็อคได้ ขอให้ไปบอกความจริงตอนเช้า เมื่อพ่อ (สามี) กลับมาจากอีกจังหวัดหนึ่งในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ขณะนี้ให้พยาบาลโกหกผู้ป่วยไว้ก่อนลูกสาวยังไม่เป็นไร
ถ้าท่านเป็นพยาบาลท่านจะทำอย่างไร
เรื่องจริงปรากฏว่าตลอดคืนนั้น แม่เฝ้าถามพยาบาลเวรตลอดเวลาว่าลูกสาวเป็นอย่างไร พยาบาลก็ตอบหลีกเลี่ยงหลอกแม่ว่าไม่เป็นอะไรตลอดเวลา พยาบาลเวรผู้นี้กล่าวกับเพื่อนคนหนึ่งภายหลังว่า “ขณะที่โกหกคนไข้นั้น ใจฉันไม่สบายเลย ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับผู้ป่วย (แม่) เพราะรู้สึกผิดมโนธรรมอย่างมาก” เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อสามีมาถึงแล้วแพทย์เป็นผู้บอกความจริงให้แม่ทราบพร้อมหน้าพ่อ แม่เสียใจมาก ร้องไห้ แล้วกล่าวออกมาว่า “ทำไม คนรู้จัก (พยาบาล) ต้องหลอกฉันด้วย”
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึง “moral dilemma” ของพยาบาลเป็นอย่างดี โดยที่ไม่ทราบจะตัดสินใจปฏิบัติทางใดดี จะบอกความจริงให้ผู้ป่วยทราบก็กลัวผู้ป่วยจะช็อคเป็นอันตรายได้ ถ้าไม่บอกก็เท่าตัวเองพูดปด ซึ่งนอกจากผิดศีลธรรมแล้วยังทำให้ตนไม่เป็นที่ไว้วางใจของผู้ป่วย (เพื่อน) ต่อไปไม่ทราบว่าเลือกทางใดจะผิดน้อยที่สุด
จะเห็นว่าสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าปฏิบัติอย่างหนึ่ง จะต้องทิ้งอย่างหนึ่ง การปฏิบัติศีลข้อหนึ่งจะต้องทิ้งศีลอีกข้อหนึ่งไป จะเอาเกณฑ์อะไรมาตัดสินใจจึงจะดี ความคิดจริยศาสตร์บังคับให้ตัดสินใจโดยเกณฑ์หนึ่งเดียว จะให้หลายเกณฑ์ไม่ได้ ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นความรู้ที่แพทย์และพยาบาลต้องเรียนรู้เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายในสิ่งที่คนจะต้องกระทำลงไป
การเกิดความขัดแย้งกันในใจเกี่ยวกับการตัดสินใจในกรณีตัวอย่างนี้ เกิดขึ้นเพราะมีความขัดแย้งกันใน 2 ลัทธิ (ความเชื่อ)
ลัทธิหนึ่ง เรียกว่า ลัทธิธรรมชาติ คนที่เชื่อลัทธินี้ เชื่อว่าธรรมะต่างๆ หรือสัจธรรมในโลกนี้มีมาแล้วพร้อมกับโลก มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างศีลธรรม กฎวิทยาศาสตร์เหล่านี้เป็นกฎธรรมชาติเป็นเรื่องตายตัวอยู่แล้ว มนุษย์มาค้นพบทีหลังต่างหาก
เนื้อหาทางศีลธรรมหลักของลัทธินี้ คือ คนต้องเคารพความเป็นบุคคลของมนุษย์ (Respect for Person of human life) ดังนั้นต้องไม่ใช้คนเป็นเครื่องมือไม่ว่ากรณีใดๆ เพราะมนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ในกรณีนี้การพูดปดจึงผิดเพราะการพูดปดนั้นใช้คนเป็นเครื่องมือให้พูดปดเพื่อประโยชน์บางอย่าง การลงโทษคนเพื่อประโยชน์สุขของสังคมหรือลงโทษคนเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างจะทำไม่ได้ เพราะการลงโทษในกรณีเช่นนี้หมายถึงใช้คนเป็นเครื่องมือ ดังนั้นถ้าหากถามว่าลัทธินี้ถืออะไรเป็นสิ่งถูกที่สุด จะได้รับคำตอบว่า ถือศักดิ์ศรีของมนุษย์ ลัทธินี้จะไม่ยอมให้มีการฆ่าคนพูดปด ลักขโมย เป็นเด็ดขาด พิจารณาดูแล้วคล้ายคลึงกับศีลในศาสนามาก ความจริงศาสนาส่วนใหญ่จะยึดหลักของลัทธินี้
ลัทธิที่สอง เป็นลัทธิที่คนส่วนใหญ่ยอมรับได้ ลัทธินี้เชื่อว่าจะตัดสินใจทำอะไรลงไปให้นึกถึงผลที่ตามมา กล่าวคือ ความสุขของคนส่วนใหญ่ ถ้าการตัดสินใจนั้นอาจทำให้เกิดผลสองทาง คือหนึ่งเกิดผลให้ความสุขเพราะคนหนึ่งคน กับสองเกิดผลให้ความสุขกับคนสิบคน เช่นนี้จะต้องเลือกกระทำในประการที่สอง คือให้ได้ผลมีความสุขต่อคนที่มีจำนวนมากกว่า ทฤษฏีหรือลัทธินี้จึงเรียกว่า “Consequantialism” ซึ่งมีนักปราชญ์ชาวอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หลายคนตั้งทฤษฎีหนึ่งซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของ Consequantialism คือลัทธิ “Utilitarianism” (แปลเป็นไทยว่าลัทธิประโยชน์นิยม)
ลัทธินี้มีคำกล่าวที่เป็นหลักการไว้คือ “การกระทำที่ถูกศีลธรรมหรือจริยธรรม คือ การกระทำที่ให้ได้มาซึ่งความสุขที่มากที่สุดกับคนที่มีจำนวนมากที่สุด” (The maximum amount of happiness for the greatest number of people)
ถ้าถือลัทธินี้ แพทย์หรือพยาบาลพูดปดกับผู้ป่วยได้ ถ้าพูดแล้วทำให้ผู้ป่วยหนึ่งคนที่กำลังมีทุกข์มีความสุขขึ้นได้ ก็จะตรงกับลัทธินี้ หรือในกรณีคนที่เป็นพาหนะโรคเอดส์ โดยการตรวจเลือดพบ ไม่อนุญาตให้แพทย์หรือพยาบาลบอกความจริงกับครอบครัวของเขา ถ้าถือลัทธินี้แพทย์หรือพยาบาลผู้นั้นก็สามารถบอกครอบครัวเขาได้ เพราะถือว่าการทำให้เกิดความสุขของครอบครัวที่มีจำนวนคนมากกว่าผู้ป่วยเพียงคนเดียวเป็นสิ่งที่พึงกระทำ
การถือตามลัทธิทั้งสองนี้อย่างเคร่งครัดมีปัญหาทั้งคู่ ในลัทธิแรกถ้าถือเคร่งครัดแพทย์หรือพยาบาลจะทำแท้งไม่ได้เด็ดขาดไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าผู้คลอด (แม่) จะอยู่ในระหว่างอันตราย ส่วนลัทธิที่สองก็มีปัญหาเช่นกัน สมมติว่าคน 10 คน เดินทางในป่า หลงป่าหาทางออกไม่ได้ เกิดขาดแคลนอาหาร และจะต้องรอคนช่วยซึ่งกว่าจะมาช่วยได้กินเวลา 1 เดือน คนกลุ่มนั้นจับฉลากกันได้ไม้สั้นจะต้องถูกฆ่าตาย เพื่อนำเนื้อให้คนที่เหลือกินเป็นอาหาร เพื่อความอยู่รอดของคนจำนวนมากกว่า ความสุขของคนส่วนใหญ่เกิดขึ้นจริง แต่เกิดขึ้นจากการละเมิดบุคคล การกระทำเช่นนี้ลัทธิหนึ่งไม่ยอมเด็ดขาด เพราะถือว่าใช้คนเป็นเครื่องมือ
ในบางกรณีถึงแม้ในทางปฏิบัติ แพทย์หรือพยาบาลคิดว่าเราน่าจะทำได้เพื่อประโยชน์สุขของผู้ป่วย แต่ทำไม่ได้เพราะมีกฎหมายบ้านเมืองบังคับอยู่ เช่น ในกรณีการุณญฆาต (euthanasia) ได้แก่กรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ และอยู่ในวาระสุดท้ายของโรค ผู้ป่วยเจ็บปวดทรมานมากขอร้องให้แพทย์ทำลายชีวิตของตนเสีย เช่นนี้ถึงแม้แพทย์หรือพยาบาลประสงค์จะทำก็ทำไม่ได้ เพราะกฎหมายยังห้ามอยู่ แต่แพทย์หรือพยาบาลหรือสาธารณชนทั่วไปอาจอภิปรายกันได้ว่าทำไมกฎหมายจึงห้าม จะยกเลิกกฎหมายหรือไม่ทั้งนี้เพื่อให้รัฐบาลทราบถึงปัญหาการตัดสินใจทางศีลธรรม จริยธรรมของแพทย์และพยาบาล ซึ่งก็มีตัวอย่างมาแล้วในกรณีทำแท้ง เป็นต้น
ในอนาคตอันใกล้แพทย์หรือพยาบาลจะต้องเผชิญกับปัญหาทางจริยธรรม หรือ moral dilemma นี้มากขึ้น เพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์เจริญก้าวหน้ามากขึ้น จะขอยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆบางตัวอย่าง
1. เรื่องการรักษาชีวิตผู้ป่วยที่เนื้อสมองถูกทำลายไปมาก (severe brain damage) เทคโนโลยีช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้โดยเครื่องช่วยหายใจ หัวใจเต้น มีการให้อาหารทางสายยาง สามารถยืดชีวิตได้อีกเป็นเดือนหรือเป็นปี ในกรณีนี้ควรหยุดเครื่องช่วยหายใจหรือไม่ เรื่องนี้คงต้องพิจารณาถึงปทัสสถาน (norm) ของผู้เกี่ยวข้องคือนักกฎหมาย ผู้ออกกฎหมาย รัฐบาลประชาชน ตลอดจนแพทย์พยาบาลทั้งหมดว่าควรทำอย่างไร เรามีความเคารพในตัวบุคคล เคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์แค่ไหน ถ้าให้มีชีวิตต่อไปสังคมจะต้องแบกภาระหนักนี้มากขึ้น ข้อเถียงนี้มีน้ำหนักพอหรือไม่ที่จะลบล้างความเห็นที่ให้ความสำคัญของคุณค่าของชีวิต
ในกรณีเดียวกันถ้าโรงพยาบาลมีเครื่องช่วยหายใจเพียงเครื่องเดียว เผอิญมีผู้ป่วยรายใหม่ซึ่งต้องการเครื่องช่วยหายใจเข้ามาใหม่ แพทย์หรือพยาบาลจะตัดสินใจอย่างไร
2. ในกรณีสมองตาย (brain dead) ที่แพทยสภาให้เกณฑ์การวินิจฉัยมาแล้วว่าต้องมีอาการแสดงของการตายของก้านสมอง ไม่มีรีเฟลกซ์ที่ตา และต้องมีแพทย์อย่างน้อยสามคนร่วมกันวินิจฉัย ในกรณีเช่นนี้ยังไม่มีการแก้กฎหมาย ให้ตรงกับเกณฑ์ของแพทยสภาควรจะแก้ไขหรือไม่
ในกรณีนี้เช่นกัน จะเป็นการสมควรหรือไม่ที่แพทย์หรือพยาบาลจะขอร้องให้บิดามารดาหรือสามีภรรยาของผู้ป่วยยินยอมให้แพทย์นำเอาอวัยวะต่างๆ มาปลุกถ่าย (transplant) ให้คนอื่น เช่น ไต หัวใจ ปอด ตับ ตับ ต่อมหมวกไต เป็นต้น ทั้งๆ ที่เขากำลังเศร้าโศกและเขาก็เห็นว่าหัวใจกำลังเต้นอยู่
3. ผู้ป่วยอายุ 90 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย มีความเจ็บปวดมาก ขอให้แพทย์ให้ยาเพื่อจบชีวิตของตนเสีย แพทย์จะทำได้เพียงใด ในกรณีที่ผู้ป่วยขอร้อง ถ้าแพทย์ทำลงไปจะถือเป็นการละเมิดบุคคลหรือไม่ มนุษย์มีสิทธิบงการชะตากรรมของตนเองหรือไม่ หรือถ้าแพทย์ไม่ทำเองสั่งพยาบาลให้ฉีดยาผู้ป่วย พยาบาลควรทำหรือไม่
4. เทคโนโลยีใหม่สามารถตรวจพบยีน (gene) ที่ผิดปกติของทารกในครรภ์ได้ สามารถทายได้ว่าเด็กในครรภ์จะมีความพิการอย่างใดได้ ถ้าพบว่าทารกมีความผิดปกติจริง การทำแท้งเป็นการกระทำที่ผิดหรือถูก
5. ในกรณีผสมเทียมนอกร่างกายมนุษย์ (in vitro fertilization) หรือทารกในหลอดแก้ว จะพิจารณาเรื่องจริยศาสตร์อย่างไร
- ในกรณีมดลูกให้เช่า การนำเอาไข่ที่ผสมแล้วมาฝากไว้กับมดลูกของหญิงอีกคนหนึ่งเพราะหญิงที่เป็นเจ้าของไข่ไม่มีมดลูก หรือมดลูกไม่เจริญพอ
- ในกรณีแม่ขอยืม (surrogated motherhood) ภรรยาไม่สามารถมีบุตรได้ เพราะไม่สามารถตกไข่ได้ แพทย์นำน้ำเชื้ออสุจิของสามีมาผสมให้กับหญิงสาวที่ได้รับอาสาเป็นแม่ขอยืม ตั้งท้องให้พอคลอดลูกแล้วนำลูกมาให้สามีภรรยาคู่นั้น
- ต่อไปคงมีมดลูกเทียมเกิดขึ้นนอกร่างกาย แพทย์เอาไข่ผสมแล้วให้มดลูกเทียมตั้งท้องได้ทางจริยศสตร์จะเกิดอะไรขึ้น
6. การระบาดของโรคเอดส์ทำให้เกิดปัญหาทางจริยศาสตร์ เช่น
- ควรจะมีการตรวจเลือดหาโรคเอดส์ก่อนแต่งงานทุกคู่หรือไม่ เหมือนอย่างที่ตรวจหา VDRL ทุกคู่
- การสุ่มตรวจหาโรคเอดส์ เพื่อประโยชน์ในการรู้จำนวนโรคเอดส์ควรทำหรือไม่ ถ้าทำก็รู้ได้เพียงจำนวนแต่ไม่รู้ว่าใครเป็นพาหะโรคเอดส์ คนที่ได้รับการตรวจเลือดมีสิทธิ์ขอทราบผลหรือไม่
- การตรวจเลือดสามีภรรยาคู่หนึ่งที่มาหาแพทย์ด้วยเรื่องอื่นแต่เผอิญพบโรคเอดส์ในคนใดคนหนึ่ง แพทย์หรือพยาบาลควรบอกความจริงแก่อีกคนหนึ่งหรือไม่
ผู้เขียนมีความห่วงใยมากถึงปัญหาทางคุณธรรม จริยธรรม และจริยศาสตร์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมากเหลือเกิน การเรียนการสอนในเรื่องนี้อาจจะตามไม่ทัน บทความนี้ได้รวบรวมสิ่งที่ดีมาจากหนังสือและเอกสารหลายเล่ม ผู้เขียนขอตั้งความหวังให้โรงเรียนแพทย์และโรงเรียนพยาบาลได้หันมาสนใจการเรียนการสอนคุณธรรม จริยธรรม และจริยศาสตร์ กันให้มากกว่านี้ ขอให้อาจารย์สังเกตและค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดมาช่วยอบรมสั่งสอน กล่อมเกลาลูกศิษย์ เพื่อวันหนึ่งในอนาคตแพทย์และพยาบาลที่เป็นลูกศิษย์ของเราจะได้ประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมเป็นที่เคารพยกย่องนับถือ สมดังที่ครั้งหนึ่ง ประชาชนเคยยกย่องให้ความเคารพนับถืออาชีพแพทย์ว่าเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติ (noble profession) และอาชีพพยาบาลเป็นอาชีพที่บริสุทธิ์ ขาวสะอาด เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ปราณี
คำว่า จริยธรรมแห่งวิชาชีพ มรรยาทวิชาชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพ คุณธรรมจริยศาสตร์ จริยศึกษา มีผู้กล่าวกันมากแต่จะหาคำตอบอธิบายที่ชัดเจนถึงความหมายที่แท้จริงนั้นยาก เพราะหลายท่านกล่าวไม่เหมือนกันทำให้สับสน ในที่นี้พยายามแยกคำอธิบายให้ชัดเจนโดยยึดถือพจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2525 เป็นหลัก
คำว่า “คุณธรรม” เป็นนาม หมายถึง สภาพคุณงามความดี ขอขยายความว่า “คุณธรรม” เป็นคุณงามความดีที่ทุกคนยอมรับ ที่วิญญูชนพึงสำนึกในจิตใจของตน ในด้านความจริง ความดีและความงาม และใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความกตัญญูกตเวที ความเสียสละส่วนตนเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป....เป็นต้น
คำว่า “จริยธรรม” คำนี้เป็นนาม หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม ขยายความว่าเป็นกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ที่คนในสังคมยอมรับและปฏิบัติตาม หากไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติผิดไปจากกฎ ระเบียบ อาจจะมีบทลงโทษ เช่น แพทยสภา ออกข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 มีอยู่ 6 หมวด สมาชิกแพทยสภาทุกคนหากฝ่าฝืนกฎก็อาจถูกลงโทษหนักเบาได้สุดแล้วแต่กรณี
จริยธรรมบางทีก็กำหนดโดยไม่มีบทลงโทษแต่ให้ผู้ที่อยู่ในวิชาชีพหรือผู้เข้ามาในวงการวิชาชีพใหม่สามารถติดตามหัวข้อจริยธรรมนั้นๆ เช่น คำสาบานของฮิปโปเตรตีส (Hippocratic cath) แพทยทุกคนทางซีกโลกตะวันตกเมื่อจะออกไปปฏิบัติหน้าที่แพทย์จะต้องสาบานตนตามหัวข้อจริยธรรมที่กำหนดโดย ฮิปโปรเตรตีส ปรมาจารย์ทางการแพทย์ในสมัยก่อนคริสตกาลหรือในปัจจุบันสมาคมแพทย์โลก (World Medical Association) ได้ประกาศ “International Code of Medical Ethics” เมื่อปี พ.ศ. 2492 เป็นจริยธรรมที่ให้แพทย์สำเร็จใหม่ทุกคนสาบานตนก่อนปฏิบัติหน้าที่แพทย์ บางทีเราเรียกคำสาบานนี้ว่า “Declaration of Geneva”
ฝ่ายพยาบาลก็มี “The Code for Nurses” (จริยธรรมแห่งวิชาชีพพยาบาล) ซึ่งเป็นสากลใช้กันทั่วโลกเหมือนกัน ทั้งนี้เป็นจริยธรรมที่ประกาศโดย สภาพยาบาลสากล (International Council of Nurses, ICN) เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2516 ที่เมืองเม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโก สำหรับประเทศไทยนั้นสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ประกาศใช้ “จริยาบรรณ วิชาชีพพยาบาล” ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2528 ซึ่งได้ใช้กันในหมู่วิชาชีพพยาบาลจนถึงทุกวันนี้ ขณะนี้ได้มีสภาการพยาบาลขึ้นแล้ว จึงได้มีการกำหนดบทลงโทษผู้ประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพอีกโสดหนึ่งด้วย
คำว่า “จริยธรรมแห่งวิชาชีพ” หรือ “จรรยาบรรณวิชาชีพ” จะเห็นว่าเป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน คือ เป็นระเบียบข้อบังคับที่สมาชิกทุกคนในวิชาชีพต้องนำไปปฏิบัติ บางทีเรียกว่า “มรรยาทวิชาชีพ” ก่อนนี้แพทยสภาเคยใช้คำ “มรรยาทวิชาชีพ” ในความหมายเดียวกับ “จริยธรรมแห่งวิชาชีพ”
คำว่า “มรรยาทแห่งวิชาชีพ” นี้ในความเห็นของผู้เขียนน่าจะเก็บไว้ใช้ให้ตรงกับความหมายคำ คือคำว่ามรรยาทมากกว่า ซึ่งควรหมายความอย่างเดียวกับคำว่า “etiquette” ของภาษาอังกฤษ ที่แปลว่าความประพฤติที่งดงาม มีศักดิ์ศรีมีเกียรติสมควรแก่ความยกย่อง วิชาชีพของพยาบาลและแพทย์จำเป็นที่จะต้องมีมรรยาท สำหรับประพฤติปฏิบัติแก่คนทั่วไป และแก่เพื่อนร่วมวิชาชีพ เช่น การพูดจาสุภาพ อ่อนน้อม ไม่แสดงอาการโกรธต่อผู้ป่วย.....เป็นต้น
คำว่า “จริยศาสตร์” เป็นนาม ได้แก่ปรัชญาสาขาหนึ่งว่าด้วยความประพฤติ และการครองชีวิตว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูกอะไรผิด หรืออะไรควรไม่ควร ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “ethics” จริยศาสตร์เป็นเนื้อหาความรู้ทางปรัชญาที่เป็นพื้นฐานหรือแนวความคิดเบื้องต้นที่นำไปสู่การกำหนดหัวข้อจริยธรรมเพื่อการปฏิบัติ ยกตัวอย่างเช่นในข้อจริยธรรม (หรือจรรยาบรรณ) ของวิชาชีพแพทย์และพยาบาลจะกำหนดไว้ว่าแพทย์และพยาบาลต้องเก็บรักษาเรื่องส่วนตัวของผู้ป่วยไว้เป็นความลับ เปิดเผยให้ผู้อื่นทราบไม่ได้ นอกจากผู้ป่วยยินยอมหรือเมื่อต้องปฏิบัติตามกฎหมาย คำถามที่นำไปสู่ “จริยศาสตร์” คือ ทำไมแพทย์หรือพยาบาลต้องทำเช่นนั้น คำตอบคือ เพราะเรื่องส่วนตัวของผู้ป่วยเป็นสิทธิของบุคคล หรือพยาบาลต้องทำเช่นนั้น คำตอบคือ เพราะเรื่องส่วนตัวของผู้ป่วยเป็นสิทธิของบุคคลที่เขาจะบอกหรือไม่บอกให้ใครรู้ก็ได้ แต่ที่เขาจำเป็นต้องบอกกับแพทย์หรือพยาบาลก็เพื่อวัตถุประสงค์ให้แพทย์และพยาบาลรักษาเขาให้หายจากความเจ็บป่วย และเขาเชื่อว่าแพทย์หรือพยาบาลผู้นั้นจะรักษาความลับเขาไว้ คำตอบเหล่านี้คือการใช้หลักการของจริยศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่อง “การเคารพในสิทธิส่วนตัว” (Respect for Autonomy)
ในเรื่องการรักษาความลับของเรื่องส่วนตัวผู้ป่วยนี้มีเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาซึ่งน่าจะเล่าเรื่องนี้ให้ทราบไว้เป็นตัวอย่างถึงความลำบากใจของแพทย์หรือผู้มีหน้าที่ตัดสินใจว่าจะปฏิบัติอย่างไร
ในคดีฆาตกรรมรายหนึ่ง นายโปรเซนจิต ทำร้ายนางสาวทาเซียนา ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2512 ผู้ปกครองของนางสาวทาเซียน่าฟ้องนายแพทย์ลอเรนซ์มัวร์ ต่อศาล กล่าวหาว่า น.พ. มัวร์ จิตแพทย์ที่รักษาโรคจิตของนายโปรเซนจิตซึ่งรับทราบจากคำสารภาพของนายโปรเซนจิตว่าตัวเองอยากฆ่านางสาวทาเซียน่า แต่ น.พ.มัวร์ มิได้แจ้งเรื่องให้พ่อแม่นางสาวทาเซียน่าทราบ น.พ.มัวร์แจ้งตำรวจให้ควบคุมตัวนายโปรเซนจิตไว้ แต่แล้วก็ถูกปล่อยตัวออกมาในเมื่อเห็นว่าไม่มีอาการอะไรน่ากลัว ในสุดท้ายเมื่อนางสาวทาเซียน่ากลับมาจากประเทศบราซิล นายโปรเซนจิตก็เข้าไปในห้องของนางสาวทาเซียน่าแล้วเธอฆ่าเธอ ผู้ปกครองน.ส.ทาเซียน่าฟ้องศาลว่า น.พ.มัวร์ทราบเรื่องนี้ว่านายโปรเซนจิตจะพยายามฆ่าน.ส.ทาเซียน่า แต่กลับไม่ยอมบอกพ่อแม่ของนาวสาวทาเซียน่าก่อน ซึ่งจะได้หาทางป้องกันตัวนางสาวทาเซียน่าได้ น.พ.มัวร์ จึงมีความผิดฐานไม่บอกเรื่องร้ายแรงให้ผู้ปกครองผู้ตายทราบ น.พ.มัวร์ แก้ข้อกล่าวหาว่าเขาเป็นผู้รักษานายโปรเซนจิตที่เป็นโรคจิต เขาจะเป็นต้องรักษาความลับของผู้ป่วยไม่อาจบอกให้ใครทราบได้ อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้แจ้งให้ตำรวจทราบและนำตัวไปกักกันไว้แล้วถึง 3 วัน จึงปล่อยตัวมา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วมีความเห็นเป็นสองฝ่าย ส่วนใหญ่ของศาลเห็นว่า น.พ.มัวร์มีความผิดฐานละเลยไม่แจ้งหรือเตือนผู้ปกครองนางสาวทาเซียน่าถึงอันตรายที่จะเกิดผู้ป่วยของตน ผู้รักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกจากดูแลของตนแล้วยังต้องนึกถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับคนอื่นด้วย โดยเฉพาะจริยธรรมของแพทย์ของสมาคมแพทย์อเมริกัน ได้กล่าวว่า แพทย์ต้องไม่เปิดเผยความลับที่เป็นเรื่องส่วนตัวที่ผู้ป่วยนำมาเล่าให้ฟังในขณะที่รักษากันอยู่ นอกจากจะต้องทำตามกฎหมายหรือต้องทำเพื่อปกป้องสวัสดิภาพของบุคคลอื่นหรือของสังคม แต่ศาลฎีกาส่วนน้อยกลับให้ความเห็นว่า น.พ. มัวร์ ไม่ผิด เนื่องจากแพทย์ส่วนใหญ่และนักกฎหมายหลายคนให้ความเห็นว่าการไม่ยอมเปิดเผยความลับของผู้ป่วยโรคจิตมีความสำคัญมากในการรักษาผู้ป่วยประเภทนี้ ถ้าแพทย์เปิดเผยความลับออกไปจะทำให้การรักษาไม่ได้ผล เพราะครั้งต่อไปผู้ป่วยจะไม่กล้าไว้วางใจแพทย์ และจะไม่กลับมาหาแพทย์ให้รักษาต่อไป ซึ่งจะยิ่งเป็นอันตรายต่อบุคคลอื่นและสังคมมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นผู้ป่วยโรคจิตคนอื่นหากทราบว่าแพทย์มักจะเล่าความจริงส่วนตัวที่ผู้ป่วยไว้วางใจเล่าให้แก่ผู้อื่นฟังแล้ว ในที่สุดความเชื่อถือไว้วางใจแพทย์จะลดน้อยลงจนกระทั่งไม่ไว้ใจแพทย์เลย แล้วใครจะเป็นคนรักษาผู้ป่วยโรคจิต สุดท้ายสังคมนั่นแหละจะเดือดร้อนมากที่สุด
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงความลำบากในการตัดสินใจกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ลองนึกภาพสมมุติว่าตัวเราเองเป็นผู้พิพากษาจะตัดสินใจว่าอย่างไร หรือนึกภาพว่าถ้าเราเป็นน.พ. มัวร์เราจะตัดสินใจอย่างไร จะบอกพ่อแม่ของนางสาวทาเซียน่าดี หรือไม่บอกดี ถ้าบอกก็หมายความว่าเรากำลังทำผิดจริยธรรมของแพทย์และอาจไม่เป็นผลดีต่อการรักษาผู้ป่วย ถ้าไม่บอกก็อาจเกิดอันตรายต่อผู้อื่นได้ สภาพการณ์เช่นนี้เป็นสภาพการณ์ที่แพทย์หรือพยาบาลพบบ่อยและตัดสินใจกระทำการไปอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ จะเห็นว่าทางเลือกทั้งสองทางนี้ถูกต้องทั้งสิ้น แต่จะเลือกทางหนึ่งนั้น ก็ต้องทิ้งอีกทางหนึ่ง ไม่สามารถเลือกทำทั้งสองทางได้ สภาพการณ์เช่นนี้เป็นสภาพที่เรียกว่า “moral dilemma” คือภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในการตัดสินใจทางศีลธรรมหรือทางจริยธรรม การตัดสินใจในกรณีเช่นนี้ต้องอาศัยการให้เหตุผลทางจริยธรรม (moral reasoning) ซึ่งต้องอาศัยความรู้ทางหลักการ และทฤษฏีทางจริยศาสตร์มาประกอบการให้เหตุผล รวมทั้งความเชื่อ ค่านิยมของแพทย์หรือพยาบาลผู้นั้นประกอบกับปทัสสถาน (norm) ของสังคมคือความเชื่อของสังคมส่วนใหญ่ที่แวดล้อมแพทย์หรือพยาบาลผู้นั้นในขณะนั้น
ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้อีกสักหนึ่งตัวอย่างซึ่งกรณีคล้ายคลึงกันนี้อาจเคยประสบกับเรามาบ้างแล้วก็ได้
ณ โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง ค่ำวันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ มีคนได้รับบาดเจ็บ 5 คนถูกนำส่งเข้าโรงพยาบาล ทั้ง 5 คนนี้เป็นครอบครัวเดียวกัน มีแม่และลูกอีก 4 คน พยาบาลเวรรู้จักกับครอบครัวนี้ดีเป็นผู้รับผู้ป่วยทั้งหมดไว้ ลูกสาวคนโตบาดเจ็บสมองมากที่สุด และถึงแก่กรรมหลังจากรับไว้เพียง 30 นาที ส่วนลูกอีก 3 คนปลอดภัย แม่เองบาดเจ็บเล็กน้อย มีรอยถลอกและช้ำเขียวเป็นบางแห่ง แม่ไม่ทราบว่าลูกสาวคนโตตายเป็นห่วงกังวลมาก เฝ้าแต่ถามพยาบาลเวรที่เป็นเพื่อนกันตลอดเวลาถึงอาการของลูกสาวคนโต พยาบาลเวรถามแพทย์ที่กำลังยุ่งทำผ่าตัดผู้ป่วยรายอื่นอยู่ว่าควรจะบอกแม่อย่างไร แพทย์บอกว่าอย่าเพิ่งบอกว่าลูกสาวตาย มิฉะนั้นแม่จะเสียใจอาจล้มป่วยช็อคได้ ขอให้ไปบอกความจริงตอนเช้า เมื่อพ่อ (สามี) กลับมาจากอีกจังหวัดหนึ่งในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ขณะนี้ให้พยาบาลโกหกผู้ป่วยไว้ก่อนลูกสาวยังไม่เป็นไร
ถ้าท่านเป็นพยาบาลท่านจะทำอย่างไร
เรื่องจริงปรากฏว่าตลอดคืนนั้น แม่เฝ้าถามพยาบาลเวรตลอดเวลาว่าลูกสาวเป็นอย่างไร พยาบาลก็ตอบหลีกเลี่ยงหลอกแม่ว่าไม่เป็นอะไรตลอดเวลา พยาบาลเวรผู้นี้กล่าวกับเพื่อนคนหนึ่งภายหลังว่า “ขณะที่โกหกคนไข้นั้น ใจฉันไม่สบายเลย ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับผู้ป่วย (แม่) เพราะรู้สึกผิดมโนธรรมอย่างมาก” เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อสามีมาถึงแล้วแพทย์เป็นผู้บอกความจริงให้แม่ทราบพร้อมหน้าพ่อ แม่เสียใจมาก ร้องไห้ แล้วกล่าวออกมาว่า “ทำไม คนรู้จัก (พยาบาล) ต้องหลอกฉันด้วย”
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึง “moral dilemma” ของพยาบาลเป็นอย่างดี โดยที่ไม่ทราบจะตัดสินใจปฏิบัติทางใดดี จะบอกความจริงให้ผู้ป่วยทราบก็กลัวผู้ป่วยจะช็อคเป็นอันตรายได้ ถ้าไม่บอกก็เท่าตัวเองพูดปด ซึ่งนอกจากผิดศีลธรรมแล้วยังทำให้ตนไม่เป็นที่ไว้วางใจของผู้ป่วย (เพื่อน) ต่อไปไม่ทราบว่าเลือกทางใดจะผิดน้อยที่สุด
จะเห็นว่าสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าปฏิบัติอย่างหนึ่ง จะต้องทิ้งอย่างหนึ่ง การปฏิบัติศีลข้อหนึ่งจะต้องทิ้งศีลอีกข้อหนึ่งไป จะเอาเกณฑ์อะไรมาตัดสินใจจึงจะดี ความคิดจริยศาสตร์บังคับให้ตัดสินใจโดยเกณฑ์หนึ่งเดียว จะให้หลายเกณฑ์ไม่ได้ ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นความรู้ที่แพทย์และพยาบาลต้องเรียนรู้เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายในสิ่งที่คนจะต้องกระทำลงไป
การเกิดความขัดแย้งกันในใจเกี่ยวกับการตัดสินใจในกรณีตัวอย่างนี้ เกิดขึ้นเพราะมีความขัดแย้งกันใน 2 ลัทธิ (ความเชื่อ)
ลัทธิหนึ่ง เรียกว่า ลัทธิธรรมชาติ คนที่เชื่อลัทธินี้ เชื่อว่าธรรมะต่างๆ หรือสัจธรรมในโลกนี้มีมาแล้วพร้อมกับโลก มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างศีลธรรม กฎวิทยาศาสตร์เหล่านี้เป็นกฎธรรมชาติเป็นเรื่องตายตัวอยู่แล้ว มนุษย์มาค้นพบทีหลังต่างหาก
เนื้อหาทางศีลธรรมหลักของลัทธินี้ คือ คนต้องเคารพความเป็นบุคคลของมนุษย์ (Respect for Person of human life) ดังนั้นต้องไม่ใช้คนเป็นเครื่องมือไม่ว่ากรณีใดๆ เพราะมนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ในกรณีนี้การพูดปดจึงผิดเพราะการพูดปดนั้นใช้คนเป็นเครื่องมือให้พูดปดเพื่อประโยชน์บางอย่าง การลงโทษคนเพื่อประโยชน์สุขของสังคมหรือลงโทษคนเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างจะทำไม่ได้ เพราะการลงโทษในกรณีเช่นนี้หมายถึงใช้คนเป็นเครื่องมือ ดังนั้นถ้าหากถามว่าลัทธินี้ถืออะไรเป็นสิ่งถูกที่สุด จะได้รับคำตอบว่า ถือศักดิ์ศรีของมนุษย์ ลัทธินี้จะไม่ยอมให้มีการฆ่าคนพูดปด ลักขโมย เป็นเด็ดขาด พิจารณาดูแล้วคล้ายคลึงกับศีลในศาสนามาก ความจริงศาสนาส่วนใหญ่จะยึดหลักของลัทธินี้
ลัทธิที่สอง เป็นลัทธิที่คนส่วนใหญ่ยอมรับได้ ลัทธินี้เชื่อว่าจะตัดสินใจทำอะไรลงไปให้นึกถึงผลที่ตามมา กล่าวคือ ความสุขของคนส่วนใหญ่ ถ้าการตัดสินใจนั้นอาจทำให้เกิดผลสองทาง คือหนึ่งเกิดผลให้ความสุขเพราะคนหนึ่งคน กับสองเกิดผลให้ความสุขกับคนสิบคน เช่นนี้จะต้องเลือกกระทำในประการที่สอง คือให้ได้ผลมีความสุขต่อคนที่มีจำนวนมากกว่า ทฤษฏีหรือลัทธินี้จึงเรียกว่า “Consequantialism” ซึ่งมีนักปราชญ์ชาวอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หลายคนตั้งทฤษฎีหนึ่งซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของ Consequantialism คือลัทธิ “Utilitarianism” (แปลเป็นไทยว่าลัทธิประโยชน์นิยม)
ลัทธินี้มีคำกล่าวที่เป็นหลักการไว้คือ “การกระทำที่ถูกศีลธรรมหรือจริยธรรม คือ การกระทำที่ให้ได้มาซึ่งความสุขที่มากที่สุดกับคนที่มีจำนวนมากที่สุด” (The maximum amount of happiness for the greatest number of people)
ถ้าถือลัทธินี้ แพทย์หรือพยาบาลพูดปดกับผู้ป่วยได้ ถ้าพูดแล้วทำให้ผู้ป่วยหนึ่งคนที่กำลังมีทุกข์มีความสุขขึ้นได้ ก็จะตรงกับลัทธินี้ หรือในกรณีคนที่เป็นพาหนะโรคเอดส์ โดยการตรวจเลือดพบ ไม่อนุญาตให้แพทย์หรือพยาบาลบอกความจริงกับครอบครัวของเขา ถ้าถือลัทธินี้แพทย์หรือพยาบาลผู้นั้นก็สามารถบอกครอบครัวเขาได้ เพราะถือว่าการทำให้เกิดความสุขของครอบครัวที่มีจำนวนคนมากกว่าผู้ป่วยเพียงคนเดียวเป็นสิ่งที่พึงกระทำ
การถือตามลัทธิทั้งสองนี้อย่างเคร่งครัดมีปัญหาทั้งคู่ ในลัทธิแรกถ้าถือเคร่งครัดแพทย์หรือพยาบาลจะทำแท้งไม่ได้เด็ดขาดไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าผู้คลอด (แม่) จะอยู่ในระหว่างอันตราย ส่วนลัทธิที่สองก็มีปัญหาเช่นกัน สมมติว่าคน 10 คน เดินทางในป่า หลงป่าหาทางออกไม่ได้ เกิดขาดแคลนอาหาร และจะต้องรอคนช่วยซึ่งกว่าจะมาช่วยได้กินเวลา 1 เดือน คนกลุ่มนั้นจับฉลากกันได้ไม้สั้นจะต้องถูกฆ่าตาย เพื่อนำเนื้อให้คนที่เหลือกินเป็นอาหาร เพื่อความอยู่รอดของคนจำนวนมากกว่า ความสุขของคนส่วนใหญ่เกิดขึ้นจริง แต่เกิดขึ้นจากการละเมิดบุคคล การกระทำเช่นนี้ลัทธิหนึ่งไม่ยอมเด็ดขาด เพราะถือว่าใช้คนเป็นเครื่องมือ
ในบางกรณีถึงแม้ในทางปฏิบัติ แพทย์หรือพยาบาลคิดว่าเราน่าจะทำได้เพื่อประโยชน์สุขของผู้ป่วย แต่ทำไม่ได้เพราะมีกฎหมายบ้านเมืองบังคับอยู่ เช่น ในกรณีการุณญฆาต (euthanasia) ได้แก่กรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ และอยู่ในวาระสุดท้ายของโรค ผู้ป่วยเจ็บปวดทรมานมากขอร้องให้แพทย์ทำลายชีวิตของตนเสีย เช่นนี้ถึงแม้แพทย์หรือพยาบาลประสงค์จะทำก็ทำไม่ได้ เพราะกฎหมายยังห้ามอยู่ แต่แพทย์หรือพยาบาลหรือสาธารณชนทั่วไปอาจอภิปรายกันได้ว่าทำไมกฎหมายจึงห้าม จะยกเลิกกฎหมายหรือไม่ทั้งนี้เพื่อให้รัฐบาลทราบถึงปัญหาการตัดสินใจทางศีลธรรม จริยธรรมของแพทย์และพยาบาล ซึ่งก็มีตัวอย่างมาแล้วในกรณีทำแท้ง เป็นต้น
ในอนาคตอันใกล้แพทย์หรือพยาบาลจะต้องเผชิญกับปัญหาทางจริยธรรม หรือ moral dilemma นี้มากขึ้น เพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์เจริญก้าวหน้ามากขึ้น จะขอยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆบางตัวอย่าง
1. เรื่องการรักษาชีวิตผู้ป่วยที่เนื้อสมองถูกทำลายไปมาก (severe brain damage) เทคโนโลยีช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้โดยเครื่องช่วยหายใจ หัวใจเต้น มีการให้อาหารทางสายยาง สามารถยืดชีวิตได้อีกเป็นเดือนหรือเป็นปี ในกรณีนี้ควรหยุดเครื่องช่วยหายใจหรือไม่ เรื่องนี้คงต้องพิจารณาถึงปทัสสถาน (norm) ของผู้เกี่ยวข้องคือนักกฎหมาย ผู้ออกกฎหมาย รัฐบาลประชาชน ตลอดจนแพทย์พยาบาลทั้งหมดว่าควรทำอย่างไร เรามีความเคารพในตัวบุคคล เคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์แค่ไหน ถ้าให้มีชีวิตต่อไปสังคมจะต้องแบกภาระหนักนี้มากขึ้น ข้อเถียงนี้มีน้ำหนักพอหรือไม่ที่จะลบล้างความเห็นที่ให้ความสำคัญของคุณค่าของชีวิต
ในกรณีเดียวกันถ้าโรงพยาบาลมีเครื่องช่วยหายใจเพียงเครื่องเดียว เผอิญมีผู้ป่วยรายใหม่ซึ่งต้องการเครื่องช่วยหายใจเข้ามาใหม่ แพทย์หรือพยาบาลจะตัดสินใจอย่างไร
2. ในกรณีสมองตาย (brain dead) ที่แพทยสภาให้เกณฑ์การวินิจฉัยมาแล้วว่าต้องมีอาการแสดงของการตายของก้านสมอง ไม่มีรีเฟลกซ์ที่ตา และต้องมีแพทย์อย่างน้อยสามคนร่วมกันวินิจฉัย ในกรณีเช่นนี้ยังไม่มีการแก้กฎหมาย ให้ตรงกับเกณฑ์ของแพทยสภาควรจะแก้ไขหรือไม่
ในกรณีนี้เช่นกัน จะเป็นการสมควรหรือไม่ที่แพทย์หรือพยาบาลจะขอร้องให้บิดามารดาหรือสามีภรรยาของผู้ป่วยยินยอมให้แพทย์นำเอาอวัยวะต่างๆ มาปลุกถ่าย (transplant) ให้คนอื่น เช่น ไต หัวใจ ปอด ตับ ตับ ต่อมหมวกไต เป็นต้น ทั้งๆ ที่เขากำลังเศร้าโศกและเขาก็เห็นว่าหัวใจกำลังเต้นอยู่
3. ผู้ป่วยอายุ 90 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย มีความเจ็บปวดมาก ขอให้แพทย์ให้ยาเพื่อจบชีวิตของตนเสีย แพทย์จะทำได้เพียงใด ในกรณีที่ผู้ป่วยขอร้อง ถ้าแพทย์ทำลงไปจะถือเป็นการละเมิดบุคคลหรือไม่ มนุษย์มีสิทธิบงการชะตากรรมของตนเองหรือไม่ หรือถ้าแพทย์ไม่ทำเองสั่งพยาบาลให้ฉีดยาผู้ป่วย พยาบาลควรทำหรือไม่
4. เทคโนโลยีใหม่สามารถตรวจพบยีน (gene) ที่ผิดปกติของทารกในครรภ์ได้ สามารถทายได้ว่าเด็กในครรภ์จะมีความพิการอย่างใดได้ ถ้าพบว่าทารกมีความผิดปกติจริง การทำแท้งเป็นการกระทำที่ผิดหรือถูก
5. ในกรณีผสมเทียมนอกร่างกายมนุษย์ (in vitro fertilization) หรือทารกในหลอดแก้ว จะพิจารณาเรื่องจริยศาสตร์อย่างไร
- ในกรณีมดลูกให้เช่า การนำเอาไข่ที่ผสมแล้วมาฝากไว้กับมดลูกของหญิงอีกคนหนึ่งเพราะหญิงที่เป็นเจ้าของไข่ไม่มีมดลูก หรือมดลูกไม่เจริญพอ
- ในกรณีแม่ขอยืม (surrogated motherhood) ภรรยาไม่สามารถมีบุตรได้ เพราะไม่สามารถตกไข่ได้ แพทย์นำน้ำเชื้ออสุจิของสามีมาผสมให้กับหญิงสาวที่ได้รับอาสาเป็นแม่ขอยืม ตั้งท้องให้พอคลอดลูกแล้วนำลูกมาให้สามีภรรยาคู่นั้น
- ต่อไปคงมีมดลูกเทียมเกิดขึ้นนอกร่างกาย แพทย์เอาไข่ผสมแล้วให้มดลูกเทียมตั้งท้องได้ทางจริยศสตร์จะเกิดอะไรขึ้น
6. การระบาดของโรคเอดส์ทำให้เกิดปัญหาทางจริยศาสตร์ เช่น
- ควรจะมีการตรวจเลือดหาโรคเอดส์ก่อนแต่งงานทุกคู่หรือไม่ เหมือนอย่างที่ตรวจหา VDRL ทุกคู่
- การสุ่มตรวจหาโรคเอดส์ เพื่อประโยชน์ในการรู้จำนวนโรคเอดส์ควรทำหรือไม่ ถ้าทำก็รู้ได้เพียงจำนวนแต่ไม่รู้ว่าใครเป็นพาหะโรคเอดส์ คนที่ได้รับการตรวจเลือดมีสิทธิ์ขอทราบผลหรือไม่
- การตรวจเลือดสามีภรรยาคู่หนึ่งที่มาหาแพทย์ด้วยเรื่องอื่นแต่เผอิญพบโรคเอดส์ในคนใดคนหนึ่ง แพทย์หรือพยาบาลควรบอกความจริงแก่อีกคนหนึ่งหรือไม่
ผู้เขียนมีความห่วงใยมากถึงปัญหาทางคุณธรรม จริยธรรม และจริยศาสตร์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมากเหลือเกิน การเรียนการสอนในเรื่องนี้อาจจะตามไม่ทัน บทความนี้ได้รวบรวมสิ่งที่ดีมาจากหนังสือและเอกสารหลายเล่ม ผู้เขียนขอตั้งความหวังให้โรงเรียนแพทย์และโรงเรียนพยาบาลได้หันมาสนใจการเรียนการสอนคุณธรรม จริยธรรม และจริยศาสตร์ กันให้มากกว่านี้ ขอให้อาจารย์สังเกตและค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดมาช่วยอบรมสั่งสอน กล่อมเกลาลูกศิษย์ เพื่อวันหนึ่งในอนาคตแพทย์และพยาบาลที่เป็นลูกศิษย์ของเราจะได้ประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมเป็นที่เคารพยกย่องนับถือ สมดังที่ครั้งหนึ่ง ประชาชนเคยยกย่องให้ความเคารพนับถืออาชีพแพทย์ว่าเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติ (noble profession) และอาชีพพยาบาลเป็นอาชีพที่บริสุทธิ์ ขาวสะอาด เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ปราณี
วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ส่งงานอาจารย์แล้วนะค่ะ
1.นักศึกษาจงค้นคว้างานวิจัย/วิทยานิพนธ์ ที่เกี่ยวข้องกับ empowerment หรือ motivation ในเชิงการบริหารงานการพยาบาล (50 คะแนน)
บทความวิจัย เรื่อง ปัจจัยส่วนบุคคล ความเป็นอิสระในการปฏิบัติการพยาบาล การได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจในงานกับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร (Personal factors, job autonomy, work empowerment and job performance of staff nurses at Private hospitals in the Bangkok Metropolis)
1. สรุปเป็นบทความเชิงวิชาการ
พบว่าปัจจัยส่วนบุคคล อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน ไม่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ เพราะผู้ปฏิบัติงานทุกกลุ่มอายุต้องปฏิบัติงานให้ดีที่สุด มีความมุ่งมั่นและร่วมกันรับผิดชอบ เพื่อให้กระบวนการทำงานนั้นเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทุกโรงพยาบาลมีแนวทางการปฏิบัติงานที่สามารถเรียนรู้และนำไปปฏิบัติงานได้ มีการสอนงานให้แก่พยาบาลใหม่ มีการติดตาม ประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ แม้จะมีอายุหรือวุฒิการศึกษาเพิ่มขึ้น ก็ไม่ได้เพิ่มระดับการปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ที่รับผิดชอบได้ กลุ่มตัวย่างการพยาบาลส่วนมากมีประสบการณ์การทำงาน 11-15 ปี ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานที่สั่งสมความรู้ความสามารถได้ใกล้เคียงกัน จึงทำให้อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน ไม่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานของพยาบาล
พบว่าความเป็นอิสระในการปฏิบัติการพยาบาลมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร เนื่องจากพยาบาลที่มีการรับรู้ถึงความเป็นอิสระในการปฏิบัติการพยาบาล เมื่อให้การพยาบาลจะใช้ความรู้ในศาสตร์ของการพยาบาลอธิบายเหตุผลการปฏิบัตินั้นได้อย่างชัดเจน และเมื่อผู้ปฏิบัติงานมีอิสระในการใช้ดุลยพินิจและตัดสินใจด้วยตนเองในการปฏิบัติงาน โดยไม่มีการควบคุมจากภายนอก จะทำให้บุคลากรปฏิบัติงานได้
อย่างเต็มความรู้ความสามารถ และมีโอกาสได้ใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานใหม่ เพื่อพัฒนาองค์การให้มีความเจริญก้าวหน้า ความมีอิสระในการทำงานจึงมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความสามารถในการตัดสินใจทางการบริหารและการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร
การได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจในงาน มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร อธิบายได้ว่า โรงพยาบาลเอกชนมีความตื่นตัวในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ พยาบาลประจำการต้องให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
และถูกต้องเหมาะสม การเสริมสร้างพลังอำนาจในงานให้กับการพยาบาลประจำการ เป็นบทบาทหนึ่งของหัวหน้าหอผู้ป่วยหรือผู้บริหารองค์การ ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงาน การที่พยาบาลวิชาชีพมีส่วนร่วมในการบริหาร ทำให้พยาบาลรู้สึกถึงการได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจในงาน ทำให้เกิดความก้าวหน้า และส่งผลให้องค์การมีการพัฒนามากขึ้น การเสริมสร้างพลังอำนาจในงานมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความสุขในการทำงานของพยาบาลประจำการ ซึ่งส่งผลต่อศักยภาพในการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการโดยตรงตรง
2. กรอบแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในงานวิจัย
ปัจจัยส่วนบุคคล
-อายุ
-ระดับการศึกษา
-ประสบการณ์การทำงาน
ความเป็นอิสระในการปฏิบัติการพยาบาล การปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ
-การตัดสินใจปฏิบัติการด้วยตนเอง -การวางแผนและการประเมินผลการพยาบาล
-การปฏิบัติด้วยความสามารถตามที่ตัดสินใจเอง -การดูแลผู้ป่วยในภาวะวิกฤต
-การปฏิบัติและตัดสินใจตามการวิเคราะห์ -การติดต่อสื่อสารและการสร้างสัมพันธภาพ
-การปฏิบัติและตัดสินใจภายใต้กฎข้อบังคับ -การสอนและการให้ความร่วมมือ
-การตัดสินใจที่ปราศจากการควบคุมจากภายนอก -การพัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ
การได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจในงาน -การเป็นผู้นำ
- ด้านการได้รับอำนาจ -การบริการที่เป็นเลิศ
การได้รับการส่งเสริมสนับสนุน -การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศทาง
การได้รับข้อมูลข่าวสาร การพยาบาล
การได้รับทรัพยากร
- ด้านการได้รับโอกาส
การได้รับความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
การได้รับการเพิ่มพูนความสามารถและทักษะ
การได้รับการยกย่องชมเชยและการยอมรับ
3. สรุปรายละเอียดเกี่ยวกับทฤษฎีที่ใช้ในงานวิจัย/วิทยานิพนธ์
ปัจจัยส่วนบุคคล
พบว่าปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน อาจมีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ เพราะผู้ปฏิบัติงานทุกกลุ่มอายุต้องปฏิบัติงานให้ดีที่สุด มีความมุ่งมั่นและร่วมกันรับผิดชอบ เพื่อให้กระบวนการทำงานนั้นเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทุกโรงพยาบาลมีแนวทางการปฏิบัติงานที่สามารถเรียนรู้และนำไปปฏิบัติงานได้ มีการสอนงานให้แก่พยาบาลใหม่ มีการติดตาม ประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ การที่มีอายุหรือวุฒิการศึกษาเพิ่มขึ้น จะเพิ่มระดับการปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ที่รับผิดชอบได้ กลุ่มตัวย่างการพยาบาลส่วนมากมีประสบการณ์การทำงาน 11-15 ปี ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานที่สั่งสมความรู้ความสามารถได้ใกล้เคียงกัน จึงทำให้อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ
ความเป็นอิสระในการปฏิบัติการพยาบาล
พบว่าความเป็นอิสระในการปฏิบัติการพยาบาลมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร เนื่องจากพยาบาลที่มีการรับรู้ถึงความเป็นอิสระในการปฏิบัติการพยาบาล เมื่อให้การพยาบาลจะใช้ความรู้ในศาสตร์ของการพยาบาลอธิบายเหตุผลการปฏิบัตินั้นได้อย่างชัดเจน และเมื่อผู้ปฏิบัติงานมีอิสระในการใช้ดุลยพินิจและตัดสินใจด้วยตนเองในการปฏิบัติงาน โดยไม่มีการควบคุมจากภายนอก จะทำให้บุคลากรปฏิบัติงานได้อย่างเต็มความรู้ความสามารถ และมีโอกาสได้ใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานใหม่ เพื่อพัฒนาองค์การให้มีความเจริญก้าวหน้า ความมีอิสระในการทำงานจึงมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความสามารถในการตัดสินใจทางการบริหารและการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร
การได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจในงาน
การได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจในงาน มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร อธิบายได้ว่า โรงพยาบาลเอกชนมีความตื่นตัวในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ พยาบาลประจำการต้องให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดและถูกต้องเหมาะสม การเสริมสร้างพลังอำนาจในงานให้กับการพยาบาลประจำการ เป็นบทบาทหนึ่งของหัวหน้าหอผู้ป่วยหรือผู้บริหารองค์การ ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงาน การที่พยาบาลวิชาชีพมีส่วนร่วมในการบริหาร ทำให้พยาบาลรู้สึกถึงการได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจในงาน ทำให้เกิดความก้าวหน้าและส่งผลให้องค์การมีการพัฒนามากขึ้น การเสริมสร้างพลังอำนาจในงานมีความสัมพันธ์
ทางบวกกับความสุขในการทำงานของพยาบาลประจำการ ซึ่งส่งผลต่อศักยภาพในการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการโดยตรง
2. นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ถึงสิ้นเทอมปีการศึกษาภาคการเรียนที่ 1/2553 นักศึกษาจงวิเคราะห์ตนเองในเรื่องส่วนตัวการศึกษาในเทอมนี้
2.1 ตั้งเป้าหมายวัตถุประสงค์ที่ต้องการทำให้บรรลุผลสำเร็จ
-สอบสภาการพยาบาลได้ครบทั้ง 8 วิชาในครั้งเดียว
-เรียนให้สำเร็จการศึกษาจบชั้นปีที่ 4
-รักษาเกรดเฉลี่ยสะสมเมื่อจบชั้นปีที่ 4 ไม่ให้ต่ำกว่า 3.00
2.2 ใช้หลักการในการบริหารเวลาจัดทำตารางการทำงาน การเรียน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
ตารางการเรียนเดือนสิงหาคม
วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ วันเสาร์ วันอาทิตย์
หยุด 1
เรียน 2 เรียน 3 เรียน 4 เรียน 5 เรียน 6 หยุด 7 หยุด 8
เรียน 9 เรียน 10 เรียน 11 เรียน 12 เรียน 13 หยุด 14 หยุด 15
เรียน 16 เรียน 17 เรียน 18 เรียน 19 เรียน 20 หยุด 21 หยุด 22
เรียน 23 เรียน 24 เรียน 25 เรียน 26 เรียน 27 หยุด 28 หยุด 29
เรียน 30 เรียน 31
หมายเหตุ : ตัวเลข 1-31 (สีแดง) หมายถึง วันที่
3. จากการที่นักศึกษาขึ้นฝึกปฏิบัติงานที่ตึกผู้ป่วยทุก Area ให้นักศึกษาทบทวนสถานการณ์ที่เป็นปัญหาขัดแย้ง (conflict) ในเชิงบริหาร 1 สถานการณ์
สถานการณ์ : พยาบาลจบใหม่ได้รับคำสั่งจากพี่พยาบาลที่คอยนิเทศน้องพยาบาลจบใหม่ให้ไป drip สารอาหาร 20% lipid ซึ่งมีสีขาวคล้ายกับนม พยาบาลจบใหม่ก็หยิบนมมาเพื่อที่จะ drip ซึ่งคิดว่าเป็นสารอาหาร 20% lipid ขณะนั้นพยาบาลที่นิเทศดูแลน้องพยาบาลจบใหม่กำลังฉีดยาให้กับผู้ป่วย case อื่นอยู่
3.1 ถ้านักศึกษาดำรงบทบาทหัวหน้าฝ่ายการพยาบาล หัวหน้าตึก หัวหน้าเวร หัวหน้าทีม และอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ นักศึกษาจะแก้ไขสถานการณ์นั้นอย่างไร
ก็จะเข้าไปเรียกน้องพยาบาลจบใหม่มาพูดคุยและแนะนำว่าสิ่งที่น้องกำลังจะให้ผู้ป่วยนั้นคืออะไร ถ้าให้ไปแล้วจะเกิดผลอย่างไรกับผู้ป่วย พร้อมทั้งแนะนำวิธีที่ให้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่การต่อว่าหรือตำหนิ เพราะจะทำให้น้องพยาบาลจบใหม่รู้สึกไม่ดีต่อการปฏิบัติงาน รวมทั้งการที่เรียกน้องมาพูดคุยกันที่ห้องเป็นการไม่ทำให้น้องรู้สึกสูญเสียความมั่นใจในการทำงานลดลงเพราะน้องอาจรู้สึกเสียความมั่นใจเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย
3.2 นักศึกษาจะหาแนวทางป้องกันไม่ให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นอีกได้อย่างไร
สำหรับพยาบาลวิชาชีพที่มีประสบการณ์น้อย จึงจำเป็นที่ต้องให้การนิเทศ รวมทั้งการดูแลนิเทศอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการเกิดสถานการณ์ที่ความเสี่ยงต่อผู้ป่วย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการแนะนำ การสอน การให้ความช่วยเหลือ การอำนวยความสะดวก การตรวจตรา และการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เกิดการเรียนรู้และสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง ดี และมีประสิทธิภาพ
บทความวิจัย เรื่อง ปัจจัยส่วนบุคคล ความเป็นอิสระในการปฏิบัติการพยาบาล การได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจในงานกับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร (Personal factors, job autonomy, work empowerment and job performance of staff nurses at Private hospitals in the Bangkok Metropolis)
1. สรุปเป็นบทความเชิงวิชาการ
พบว่าปัจจัยส่วนบุคคล อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน ไม่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ เพราะผู้ปฏิบัติงานทุกกลุ่มอายุต้องปฏิบัติงานให้ดีที่สุด มีความมุ่งมั่นและร่วมกันรับผิดชอบ เพื่อให้กระบวนการทำงานนั้นเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทุกโรงพยาบาลมีแนวทางการปฏิบัติงานที่สามารถเรียนรู้และนำไปปฏิบัติงานได้ มีการสอนงานให้แก่พยาบาลใหม่ มีการติดตาม ประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ แม้จะมีอายุหรือวุฒิการศึกษาเพิ่มขึ้น ก็ไม่ได้เพิ่มระดับการปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ที่รับผิดชอบได้ กลุ่มตัวย่างการพยาบาลส่วนมากมีประสบการณ์การทำงาน 11-15 ปี ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานที่สั่งสมความรู้ความสามารถได้ใกล้เคียงกัน จึงทำให้อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน ไม่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานของพยาบาล
พบว่าความเป็นอิสระในการปฏิบัติการพยาบาลมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร เนื่องจากพยาบาลที่มีการรับรู้ถึงความเป็นอิสระในการปฏิบัติการพยาบาล เมื่อให้การพยาบาลจะใช้ความรู้ในศาสตร์ของการพยาบาลอธิบายเหตุผลการปฏิบัตินั้นได้อย่างชัดเจน และเมื่อผู้ปฏิบัติงานมีอิสระในการใช้ดุลยพินิจและตัดสินใจด้วยตนเองในการปฏิบัติงาน โดยไม่มีการควบคุมจากภายนอก จะทำให้บุคลากรปฏิบัติงานได้
อย่างเต็มความรู้ความสามารถ และมีโอกาสได้ใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานใหม่ เพื่อพัฒนาองค์การให้มีความเจริญก้าวหน้า ความมีอิสระในการทำงานจึงมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความสามารถในการตัดสินใจทางการบริหารและการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร
การได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจในงาน มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร อธิบายได้ว่า โรงพยาบาลเอกชนมีความตื่นตัวในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ พยาบาลประจำการต้องให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
และถูกต้องเหมาะสม การเสริมสร้างพลังอำนาจในงานให้กับการพยาบาลประจำการ เป็นบทบาทหนึ่งของหัวหน้าหอผู้ป่วยหรือผู้บริหารองค์การ ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงาน การที่พยาบาลวิชาชีพมีส่วนร่วมในการบริหาร ทำให้พยาบาลรู้สึกถึงการได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจในงาน ทำให้เกิดความก้าวหน้า และส่งผลให้องค์การมีการพัฒนามากขึ้น การเสริมสร้างพลังอำนาจในงานมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความสุขในการทำงานของพยาบาลประจำการ ซึ่งส่งผลต่อศักยภาพในการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการโดยตรงตรง
2. กรอบแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในงานวิจัย
ปัจจัยส่วนบุคคล
-อายุ
-ระดับการศึกษา
-ประสบการณ์การทำงาน
ความเป็นอิสระในการปฏิบัติการพยาบาล การปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ
-การตัดสินใจปฏิบัติการด้วยตนเอง -การวางแผนและการประเมินผลการพยาบาล
-การปฏิบัติด้วยความสามารถตามที่ตัดสินใจเอง -การดูแลผู้ป่วยในภาวะวิกฤต
-การปฏิบัติและตัดสินใจตามการวิเคราะห์ -การติดต่อสื่อสารและการสร้างสัมพันธภาพ
-การปฏิบัติและตัดสินใจภายใต้กฎข้อบังคับ -การสอนและการให้ความร่วมมือ
-การตัดสินใจที่ปราศจากการควบคุมจากภายนอก -การพัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ
การได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจในงาน -การเป็นผู้นำ
- ด้านการได้รับอำนาจ -การบริการที่เป็นเลิศ
การได้รับการส่งเสริมสนับสนุน -การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศทาง
การได้รับข้อมูลข่าวสาร การพยาบาล
การได้รับทรัพยากร
- ด้านการได้รับโอกาส
การได้รับความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
การได้รับการเพิ่มพูนความสามารถและทักษะ
การได้รับการยกย่องชมเชยและการยอมรับ
3. สรุปรายละเอียดเกี่ยวกับทฤษฎีที่ใช้ในงานวิจัย/วิทยานิพนธ์
ปัจจัยส่วนบุคคล
พบว่าปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน อาจมีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ เพราะผู้ปฏิบัติงานทุกกลุ่มอายุต้องปฏิบัติงานให้ดีที่สุด มีความมุ่งมั่นและร่วมกันรับผิดชอบ เพื่อให้กระบวนการทำงานนั้นเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทุกโรงพยาบาลมีแนวทางการปฏิบัติงานที่สามารถเรียนรู้และนำไปปฏิบัติงานได้ มีการสอนงานให้แก่พยาบาลใหม่ มีการติดตาม ประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ การที่มีอายุหรือวุฒิการศึกษาเพิ่มขึ้น จะเพิ่มระดับการปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ที่รับผิดชอบได้ กลุ่มตัวย่างการพยาบาลส่วนมากมีประสบการณ์การทำงาน 11-15 ปี ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานที่สั่งสมความรู้ความสามารถได้ใกล้เคียงกัน จึงทำให้อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ
ความเป็นอิสระในการปฏิบัติการพยาบาล
พบว่าความเป็นอิสระในการปฏิบัติการพยาบาลมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร เนื่องจากพยาบาลที่มีการรับรู้ถึงความเป็นอิสระในการปฏิบัติการพยาบาล เมื่อให้การพยาบาลจะใช้ความรู้ในศาสตร์ของการพยาบาลอธิบายเหตุผลการปฏิบัตินั้นได้อย่างชัดเจน และเมื่อผู้ปฏิบัติงานมีอิสระในการใช้ดุลยพินิจและตัดสินใจด้วยตนเองในการปฏิบัติงาน โดยไม่มีการควบคุมจากภายนอก จะทำให้บุคลากรปฏิบัติงานได้อย่างเต็มความรู้ความสามารถ และมีโอกาสได้ใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานใหม่ เพื่อพัฒนาองค์การให้มีความเจริญก้าวหน้า ความมีอิสระในการทำงานจึงมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความสามารถในการตัดสินใจทางการบริหารและการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร
การได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจในงาน
การได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจในงาน มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการ โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร อธิบายได้ว่า โรงพยาบาลเอกชนมีความตื่นตัวในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ พยาบาลประจำการต้องให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดและถูกต้องเหมาะสม การเสริมสร้างพลังอำนาจในงานให้กับการพยาบาลประจำการ เป็นบทบาทหนึ่งของหัวหน้าหอผู้ป่วยหรือผู้บริหารองค์การ ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงาน การที่พยาบาลวิชาชีพมีส่วนร่วมในการบริหาร ทำให้พยาบาลรู้สึกถึงการได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจในงาน ทำให้เกิดความก้าวหน้าและส่งผลให้องค์การมีการพัฒนามากขึ้น การเสริมสร้างพลังอำนาจในงานมีความสัมพันธ์
ทางบวกกับความสุขในการทำงานของพยาบาลประจำการ ซึ่งส่งผลต่อศักยภาพในการปฏิบัติงานของพยาบาลประจำการโดยตรง
2. นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ถึงสิ้นเทอมปีการศึกษาภาคการเรียนที่ 1/2553 นักศึกษาจงวิเคราะห์ตนเองในเรื่องส่วนตัวการศึกษาในเทอมนี้
2.1 ตั้งเป้าหมายวัตถุประสงค์ที่ต้องการทำให้บรรลุผลสำเร็จ
-สอบสภาการพยาบาลได้ครบทั้ง 8 วิชาในครั้งเดียว
-เรียนให้สำเร็จการศึกษาจบชั้นปีที่ 4
-รักษาเกรดเฉลี่ยสะสมเมื่อจบชั้นปีที่ 4 ไม่ให้ต่ำกว่า 3.00
2.2 ใช้หลักการในการบริหารเวลาจัดทำตารางการทำงาน การเรียน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
ตารางการเรียนเดือนสิงหาคม
วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ วันเสาร์ วันอาทิตย์
หยุด 1
เรียน 2 เรียน 3 เรียน 4 เรียน 5 เรียน 6 หยุด 7 หยุด 8
เรียน 9 เรียน 10 เรียน 11 เรียน 12 เรียน 13 หยุด 14 หยุด 15
เรียน 16 เรียน 17 เรียน 18 เรียน 19 เรียน 20 หยุด 21 หยุด 22
เรียน 23 เรียน 24 เรียน 25 เรียน 26 เรียน 27 หยุด 28 หยุด 29
เรียน 30 เรียน 31
หมายเหตุ : ตัวเลข 1-31 (สีแดง) หมายถึง วันที่
3. จากการที่นักศึกษาขึ้นฝึกปฏิบัติงานที่ตึกผู้ป่วยทุก Area ให้นักศึกษาทบทวนสถานการณ์ที่เป็นปัญหาขัดแย้ง (conflict) ในเชิงบริหาร 1 สถานการณ์
สถานการณ์ : พยาบาลจบใหม่ได้รับคำสั่งจากพี่พยาบาลที่คอยนิเทศน้องพยาบาลจบใหม่ให้ไป drip สารอาหาร 20% lipid ซึ่งมีสีขาวคล้ายกับนม พยาบาลจบใหม่ก็หยิบนมมาเพื่อที่จะ drip ซึ่งคิดว่าเป็นสารอาหาร 20% lipid ขณะนั้นพยาบาลที่นิเทศดูแลน้องพยาบาลจบใหม่กำลังฉีดยาให้กับผู้ป่วย case อื่นอยู่
3.1 ถ้านักศึกษาดำรงบทบาทหัวหน้าฝ่ายการพยาบาล หัวหน้าตึก หัวหน้าเวร หัวหน้าทีม และอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ นักศึกษาจะแก้ไขสถานการณ์นั้นอย่างไร
ก็จะเข้าไปเรียกน้องพยาบาลจบใหม่มาพูดคุยและแนะนำว่าสิ่งที่น้องกำลังจะให้ผู้ป่วยนั้นคืออะไร ถ้าให้ไปแล้วจะเกิดผลอย่างไรกับผู้ป่วย พร้อมทั้งแนะนำวิธีที่ให้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่การต่อว่าหรือตำหนิ เพราะจะทำให้น้องพยาบาลจบใหม่รู้สึกไม่ดีต่อการปฏิบัติงาน รวมทั้งการที่เรียกน้องมาพูดคุยกันที่ห้องเป็นการไม่ทำให้น้องรู้สึกสูญเสียความมั่นใจในการทำงานลดลงเพราะน้องอาจรู้สึกเสียความมั่นใจเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย
3.2 นักศึกษาจะหาแนวทางป้องกันไม่ให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นอีกได้อย่างไร
สำหรับพยาบาลวิชาชีพที่มีประสบการณ์น้อย จึงจำเป็นที่ต้องให้การนิเทศ รวมทั้งการดูแลนิเทศอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการเกิดสถานการณ์ที่ความเสี่ยงต่อผู้ป่วย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการแนะนำ การสอน การให้ความช่วยเหลือ การอำนวยความสะดวก การตรวจตรา และการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เกิดการเรียนรู้และสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง ดี และมีประสิทธิภาพ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)